คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับ ขนาดกระเป๋า (baggage size) ที่เคาน์เตอร์สายการบิน

ปัญหาที่พบบ่อยที่สุดและสร้างความกังวลให้แก่นักเดินทางทุกคนก่อนขึ้นเครื่องบินคือเรื่องของ baggage size หรือขนาดและน้ำหนักของกระเป๋าเดินทาง ที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของสายการบิน การพลาดในรายละเอียดเล็กน้อยนี้อาจทำให้คุณต้องเสียเวลาจัดกระเป๋าใหม่ หรือที่แย่กว่านั้นคือต้องเสียค่าธรรมเนียมสัมภาระส่วนเกินที่มีราคาสูง บทความนี้ได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยที่สุดเกี่ยวกับขนาดกระเป๋า ณ เคาน์เตอร์สายการบิน พร้อมข้อเท็จจริงอ้างอิงจากมาตรฐานสากล เพื่อให้คุณเดินทางได้อย่างราบรื่นและประหยัดค่าใช้จ่าย

กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง (Carry-on Baggage): ข้อจำกัดที่เข้มงวด

กระเป๋าถือขึ้นเครื่องเป็นสัมภาระที่สายการบินทุกแห่งให้ความสำคัญสูงสุด เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและพื้นที่ในห้องโดยสาร

1. ขนาดกระเป๋าถือขึ้นเครื่องมาตรฐานคือเท่าไหร่?

• มาตรฐานสากลด้านขนาด: โดยทั่วไป สายการบินส่วนใหญ่กำหนดขนาดสูงสุดของกระเป๋าเดินทางล้อลากที่อนุญาตให้ถือขึ้นเครื่องได้คือประมาณ 56 x 36 x 23 เซนติเมตร (รวมล้อ มือจับ และกระเป๋าด้านข้าง) หรือไม่เกิน 22 นิ้ว
• มาตรฐานด้านน้ำหนัก: เกือบทุกสายการบินกำหนดน้ำหนักรวมของสัมภาระถือขึ้นเครื่องอยู่ที่ ไม่เกิน 7 กิโลกรัม ต่อผู้โดยสารหนึ่งท่าน

ตัวอย่างสายการบินที่ใช้เกณฑ์หลักนี้ (56x36x23 ซม. และ 7 กก.):

• สายการบินต้นทุนต่ำ (Low-Cost Carriers) ส่วนใหญ่ เช่น Thai AirAsia (FD), AirAsia X (XJ), Thai Lion Air (SL), Nok Air (DD), Vietjet Air (VZ) และ Cebu Pacific (5J)
• สายการบิน Full Service บางส่วน เช่น Cathay Pacific (CX) (7 กก.), Singapore Airlines (SQ) (7 กก. สำหรับชั้นประหยัด/พรีเมียม)

ข้อควรระวัง: สายการบินต้นทุนต่ำหลายแห่งมักมีค่าธรรมเนียมเข้มงวดสำหรับการนำกระเป๋าใบที่สอง หรือกระเป๋าส่วนตัวที่มีขนาดใหญ่เกินไปขึ้นเครื่อง

2. กระเป๋า 20 นิ้ว ขึ้นเครื่องได้หรือไม่?

คำตอบ: โดยทั่วไป กระเป๋าเดินทาง 20 นิ้ว มักจะเป็นขนาดมาตรฐานที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้โดยไม่มีปัญหา เพราะมีขนาดความสูง ความกว้าง และความลึกรวมกันมักจะไม่เกินเกณฑ์ที่สายการบินกำหนด (ประมาณ 115 เซนติเมตร) อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการตรวจสอบขนาดรวม (ยาว x กว้าง x สูง) ของกระเป๋าเทียบกับข้อกำหนดเฉพาะของสายการบินที่คุณเดินทาง เพราะบางสายการบินอาจมีเกณฑ์ที่เข้มงวดกว่า เช่น

ตัวอย่างสายการบินที่มีเกณฑ์ขนาดที่เข้มงวดกว่า:

• Korean Air (KE) และ All Nippon Airways (ANA): อนุญาตขนาดที่ใหญ่กว่ามาตรฐานเล็กน้อย (เช่น ไม่เกิน 55 x 40 x 25 ซม. และน้ำหนัก 10 กก. ขึ้นไป)
• Japan Airlines (JAL): อนุญาตน้ำหนักถึง 10 กก. และขนาดไม่เกิน 55 x 40 x 25 ซม.
• สายการบินต้นทุนต่ำที่จำกัดขนาดเข้มงวดกว่า: บางแห่งอาจจำกัดขนาดความลึกให้น้อยกว่า 23 ซม. หรือมีการกำหนดขนาดกระเป๋าหลักที่เล็กกว่า

3. สามารถนำกระเป๋าขึ้นเครื่องได้กี่ใบ?

มาตรฐาน: ผู้โดยสารส่วนใหญ่ได้รับอนุญาตให้นำสัมภาระติดตัวขึ้นเครื่องได้ 1 ชิ้น (กระเป๋าหลัก) และ 1 ชิ้นส่วนตัว (Personal Item) เช่น กระเป๋าถือผู้หญิง กระเป๋าแล็ปท็อป หรือกระเป๋าเป้ใบเล็ก ซึ่งกระเป๋าส่วนตัวนี้ต้องมีขนาดเล็กพอที่จะวางไว้ใต้เบาะที่นั่งด้านหน้าได้

กระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่อง (Checked Baggage): ข้อควรระวังเรื่องน้ำหนักและขนาดรวม

การโหลดสัมภาระใต้ท้องเครื่องมีข้อจำกัดที่ผ่อนปรนกว่าในเรื่องของขนาด แต่จะเข้มงวดมากในเรื่องของน้ำหนักรวมและขนาดรวมสามด้าน

1. น้ำหนักสูงสุดของกระเป๋าเดินทางโหลดใต้เครื่องคือเท่าไหร่?

มาตรฐานทั่วไป: สำหรับสัมภาระโหลดใต้ท้องเครื่องแต่ละใบ สายการบินส่วนใหญ่จะกำหนดน้ำหนักสูงสุดที่ยอมรับได้คือ ไม่เกิน 23 กิโลกรัม หรือ 32 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับชั้นโดยสารและนโยบายของสายการบิน

ตัวอย่างสายการบินตามเกณฑ์น้ำหนัก (สำหรับชั้นประหยัด/มาตรฐาน):

• เกณฑ์ 23 กิโลกรัม (ต่อใบ/ต่อชิ้น): สายการบิน Full Service ส่วนใหญ่สำหรับเส้นทางระยะไกล เช่น Thai Airways (TG), Emirates (EK), Qatar Airways (QR)
• เกณฑ์ 32 กิโลกรัม (ต่อใบ/ต่อชิ้น): สายการบินบางแห่งที่อนุญาตสัมภาระเพียง 1 ชิ้น และไม่คำนึงถึงจำนวนชิ้น แต่คำนึงถึงน้ำหนักรวมทั้งหมด (มักพบในสายการบิน Full Service บางเส้นทาง หรือชั้นโดยสารพรีเมียม)
• เกณฑ์น้ำหนักรวมที่ซื้อเพิ่ม (ไม่เกิน 30-40 กิโลกรัม): สายการบินต้นทุนต่ำเมื่อคุณซื้อโควตาน้ำหนักเพิ่ม (โดยมักจำกัดน้ำหนักสูงสุดต่อกระเป๋า 1 ใบไว้ที่ 32 กิโลกรัม)

สำคัญ: หากน้ำหนักเกินเกณฑ์ที่กำหนดแม้เพียงเล็กน้อย คุณอาจต้องเสียค่าธรรมเนียมน้ำหนักเกิน (Excess Baggage Fee) ซึ่งมีราคาค่อนข้างสูง

2. ขนาดรวม (Total Linear Dimension) คืออะไร?

คำจำกัดความ: สายการบินกำหนดขนาดสูงสุดของกระเป๋าโหลดใต้เครื่องโดยวัดจาก "ขนาดรวม" ซึ่งคือการนำความยาว ความกว้าง และความสูงของกระเป๋าเดินทางมารวมกัน

เกณฑ์มาตรฐาน: โดยทั่วไป ขนาดรวม (ยาว + กว้าง + สูง) ของกระเป๋าโหลดใต้เครื่องต้องไม่เกิน 158 เซนติเมตร (ประมาณ 62 นิ้ว) กระเป๋าเดินทางขนาด 28-30 นิ้ว มักจะเป็นขนาดที่ใกล้เคียงกับเกณฑ์สูงสุดนี้

ตัวอย่างสายการบินที่ใช้เกณฑ์ขนาดรวม 158 ซม.:

• ใช้กันอย่างแพร่หลายในสายการบิน Full Service ส่วนใหญ่ ทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา เช่น Thai Airways (TG), EVA Air (BR), Lufthansa (LH), United Airlines (UA)
• สายการบินต้นทุนต่ำส่วนใหญ่ ที่มีการขายน้ำหนักสัมภาระ จะไม่ได้กำหนดขนาดรวมที่เข้มงวดเท่า Full Service แต่มักแนะนำให้ใช้ขนาดที่เหมาะสม (เช่น 28-30 นิ้ว) และจะเข้มงวดกับน้ำหนักเกินมากกว่าขนาด

3. วัดขนาดกระเป๋าอย่างไรให้ถูกต้อง?

การวัดรวมทุกส่วน: การวัดขนาดกระเป๋าที่ถูกต้องต้องรวมถึงล้อ มือจับ และกระเป๋าด้านข้างด้วย เพราะที่เคาน์เตอร์เช็กอิน จะมีการใช้เครื่องวัดขนาด (Sizing Gauge) ซึ่งทุกส่วนของกระเป๋าต้องอยู่ในกรอบที่กำหนด

เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ: หลีกเลี่ยงปัญหาที่เคาน์เตอร์

• ตรวจสอบเสมอ:อย่าสันนิษฐาน! baggage size และน้ำหนักของแต่ละสายการบินและแต่ละเส้นทางอาจแตกต่างกัน คุณควรตรวจสอบข้อกำหนดที่แน่นอนบนเว็บไซต์ของสายการบินที่คุณจองก่อนการเดินทางเสมอ
• ใช้เครื่องชั่งน้ำหนักพกพา: ลงทุนซื้อเครื่องชั่งน้ำหนักกระเป๋าแบบพกพาเพื่อชั่งน้ำหนักที่บ้านก่อนเดินทาง เพื่อป้องกันน้ำหนักเกินที่สนามบิน
• อย่าชั่งน้ำหนักเกิน: หากน้ำหนักเกินกว่าที่กำหนด คุณควรพร้อมที่จะจ่ายค่าปรับ หรือย้ายสิ่งของไปยังกระเป๋าถือขึ้นเครื่อง (หากยังไม่เกินเกณฑ์ของสัมภาระถือขึ้นเครื่อง)

การทำความเข้าใจข้อกำหนดเหล่านี้จะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมและเดินทางได้อย่างสบายใจ ไร้ความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด

Baggage Luggage เลือกกระเป๋าเดินทางที่ใช่... ไม่ต้องกลัวผิดกฎ!

การเดินทางจะราบรื่นเมื่อคุณมีกระเป๋าเดินทาง ที่ได้มาตรฐาน Baggage Luggage เรามีกระเป๋าเดินทางให้เลือกหลากหลายขนาด ตั้งแต่ Carry-on 20 นิ้ว ไปจนถึงกระเป๋าโหลดขนาดใหญ่ 30 นิ้ว ซึ่งออกแบบมาให้สอดคล้องกับข้อกำหนด baggage size หลักๆ ของสายการบินชั้นนำ เพื่อให้คุณเลือกใช้กระเป๋าที่ใช่สำหรับทุกทริป โดยไม่ต้องกังวลเรื่องขนาดและน้ำหนักเกินอีกต่อไป

ช้อปเลยตอนนี้ที่ Baggage Luggage! เลือกกระเป๋าเดินทางคุณภาพสูง ดีไซน์ทันสมัย พร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้มก่อนใคร!

ช่องทางการสั่งซื้อ

ติดตามข่าวสาร