Last updated: 21 Jul 2023 | 23566 Views |
หนึ่งไอเท็มสำคัญที่จะขาดไม่ได้สำหรับทุกทริป ไม่ว่าจะทริประยะสั้นหรือยาว ใกล้หรือไกล ก็คือ กระเป๋าเดินทางคู่ใจดี ๆ สักหนึ่งใบ แน่นอนว่าการเดินทางไปไหนสักที่ สิ่งที่จะทำให้อุ่นใจได้ว่าเรามีการเตรียมความมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ เสบียง อาหารกิน เสื้อผ้า หรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ นั่นก็คือ สัมภาระที่เราได้นำติดใส่กระเป๋าเดินทางไปด้วยนั่นเอง จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมกระเป๋าเดินทางถึงมีความสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยว และคงไม่แปลกที่นักท่องเที่ยวอยากจะนำกระเป๋าลากขึ้นเครื่องติดตัวไปกับเราด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้นการเตรียมความพร้อมด้วยการเลือกรุ่นกระเป๋าให้ดี จึงเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก เพราะจะเป็นเกณฑ์ตัดสินอันดับแรกว่าจะได้นำกระเป๋าลากขึ้นเครื่องติดไปด้วยได้หรือไม่นั่นเอง
โดยปกติแล้วน้ำหนักกระเป๋าและขนาดของกระเป๋าลากขึ้นเครื่องนั้น แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับแต่ละสายการบิน ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักของสัมภาระติดตัว หรือน้ำหนักของกระเป๋าที่ต้องโหลดใต้ท้องเครื่อง รวมทั้งวัตถุต้องห้ามและข้อมูลอื่น ๆ ดังนั้นไม่ว่าจะท่องเที่ยวหรือมีทริปเดินทางไปไหน ก็ควรศึกษารายละเอียดของแต่ละสายการบินที่เราใช้บริการก่อน เพื่อจะได้วางแผนการจัดกระเป๋า ว่าจะนำกระเป๋าลากขึ้นเครื่องหรือโหลดใต้เครื่องดี ซึ่งกระเป๋าลากขึ้นเครื่อง หรือที่เรียกว่า Carry-On Baggage โดยส่วนใหญ่แล้ว จะมีกำหนดอยู่ที่ 56 ซม. x 36 ซม. x 23 ซม. หรือประมาณกระเป๋าลาก 20-22 นิ้ว ซึ่งหากใหญ่กว่านี้จะใส่ในที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะไม่ได้นั่นเอง ส่วนน้ำหนักของกระเป๋าเดินทางที่นำขึ้นเครื่องได้จะถูกกำหนดอยู่ที่ 7 กิโลกรัม นอกจากนี้ยังสามารถหิ้วกระเป๋าถือใบเล็กติดตัวได้อีกหนึ่งใบ (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละสายการบิน)
1. ขนาดของกระเป๋า : ถือได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งเลย หากกระเป๋าลากขึ้นเครื่อง ของเราใหญ่เกินขนาดที่สายการบินกำหนด เราอาจจะต้องโหลดกระเป๋าใบนั้นแทน ดังนั้น อย่าลืมศึกษารายละเอียดของกระเป๋าลากขึ้นเครื่องให้ชัดเจน ซึ่งขนาดของกระเป๋าลากขึ้นเครื่องที่แต่ละสายการบินกำหนดนั้นจะรวมในส่วนของล้อกและที่จับกระเป๋าด้วยนั้นเอง
2. น้ำหนักของกระเป๋า : หากยิ่งเบาก็จะยิ่งดี เนื่องจากจะสามารถจุของได้เยอะขึ้นนั่นเอง อย่างที่เราได้กล่าวไว้แล้วในข้างต้น ว่าสายการบินส่วนใหญ่อนุญาตให้ถือสัมภาระขึ้นเครื่องได้ไม่เกิน 7 กิโลกรัม ดังนั้นหากยิ่งเราเลือกกระเป๋าที่มีน้ำหนักเบา เราก็จะยิ่งสามารถใส่สัมภาระในกระเป๋าลากขึ้นเครื่องได้มากขึ้นนั่นเอง
3. ล้อลาก : กระเป๋าล้อลากแบบ 2 ล้อ เหมาะแก่การลากแบบเฉียง แต่อาจลากลำบากหน่อย เมื่อต้องเดินในที่คับแคบ และกระเป๋าล้อลากแบบ 4 ล้อ หมุนได้รอบทิศทาง สะดวกต่อการเข็นในที่แคบอย่างทางเดินบนเครื่องบิน (ควรศึกษาข้อดี-ข้อเสียของล้อแต่ละประเภทอีกครั้งก่อนตัดสินใจ)
4. ช่องเก็บของภายใน : เป็นอีกเรื่องที่หลายๆคนมักจะมองข้าม แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น มีความสำคัญเพราะจะช่วยให้การจัดของเป็นระเบียบและสามารถหยิบของได้สะดวกขึ้นนั่นเอง
5. วัสดุของกระเป๋าเดินทาง : โดยเลือกให้เหมาะกับสภาพการใช้งาน ปกติแล้ว วัสดุของกระเป๋าแยกได้เป็น 2 ประเภท แบบกว้างๆ คือ แบบซอฟต์เคส (Soft Case) ส่วนใหญ่มักใช้ผ้าไนล่อน และแบบฮาร์ดเคส (Hard Case) มักใช้วัสดุจำพวกโพลีพลาสติก
แน่นอนว่าในแต่ละสายการบินย่อมมีนโยบายเกี่ยวกับกระเป๋าลากขึ้นเครื่องรวมถึงสัมภาระอื่น ๆ ติดตัวที่ต่างกัน สำหรับ 9 รุ่นที่เราแนะนำในวันนี้ เป็นรุ่นที่สามารถเดินลากขึ้นเครื่องบิน เกือบทุกสายการบินได้อย่างสบายใจแน่นอน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อย่าลืมตรวจเช็คสิ่งของที่ห้ามนำขึ้นเครื่องบินกันให้ดีก่อนจัดกระเป๋ากันด้วย เพื่อให้สามารถสบายใจได้ว่า เราจะสามารถนำกระเป๋าลากขึ้นเครื่องได้อย่างไม่ต้องกังวลสิ่งใด และเมื่อพร้อมแล้ว ก็ออกเดินทางไปพร้อมๆกับน้องๆกระเป๋าลากขึ้นเครื่องกันเลย
สนใจ กระเป๋าเดินทาง ติดต่อเรา